ความพยายามก้าวล้ำของ Apple ในการออกแบบสมาร์ทโฟนทรงบางพิเศษได้เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ หลังเปิดตัว iPhone Air ล่าสุดได้รับการตอบรับจากตลาดที่น่าผิดหวัง จนบริษัทต้องตัดสินใจลดกำลังการผลิตทันที อุปกรณ์ซึ่งถูกวางตลาดในฐานะ iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยสร้างมายังคงดิ้นรนหาตำแหน่งในไลน์アップของ Apple แม้จะมีฟอร์มแฟกเตอร์ที่แปลกใหม่
การลดกำลังผลิต สัญญาณแห่งความยากลำบากในระยะเริ่มต้น
ตามรายงานล่าสุดจาก Financial Times Apple ได้ตัดสินใจลดคำสั่งผลิต iPhone Air ลงครึ่งหนึ่ง ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังเปิดตัว ยอดขายที่ออกมายังน่ากังวลเป็นพิเศษ โดยทำได้เพียงประมาณหนึ่งในสามของการคาดการณ์ภายในในแง่ดีที่สุดของบริษัท การลดขนาดการผลิตครั้งใหญ่นี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่รวดเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของ Apple ซึ่งบ่งชี้ว่าตัวเครื่องมีประสิทธิภาพต่ำกว่าความคาดหวังในระดับต่ำสุดของบริษัทในระยะเริ่มต้นที่สำคัญ
ตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการตลาด
- ยอดขายที่ทำได้: ~33% ของความคาดหวังสูงสุดของ Apple
- การลดคำสั่งซื้อการผลิต: 50%
- สถานะในตลาดจีน: รุ่น iPhone 17 ที่ขายได้แย่ที่สุด
- การพัฒนารุ่นต่อไป: ล่าช้า พร้อมกับการลดห่วงโซ่อุปทานมากกว่า 80%
ราคาของความบาง: การลดทอนคุณสมบัติหลัก
ความท้าทายพื้นฐานของ iPhone Air มาจากการประนีประนอมทางวิศวกรรมอย่างมากที่จำเป็นเพื่อให้ได้มาซึ่งความบางระดับบันทึกที่ 5.64 มิลลิเมตร เพื่อให้บรรลุความบางที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ Apple ได้ตัดลำโพงรองออกไป ทำให้คุณภาพเสียงเหลือเพียงเอาต์พุตแบบโมโน ระบบกล้องได้รับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยลดเหลือเพียงเซ็นเซอร์หลักตัวเดียว โดยไม่มีเลนส์อัลตราไวด์และเทเลโฟโตที่กลายเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ ความจุแบตเตอรี่ภายในลดลงอย่างมาก ทำให้ต้องใช้แบตเตอรี่เสริมภายนอกที่ถอดออกได้เพื่อให้ได้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ในระดับที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ขัดแย้งกับสุนทรียภาพที่เรียบหร่าของอุปกรณ์
ข้อมูลจำเพาะหลักและข้อจำกัดของ iPhone Air
- ความหนา: 5.64 มม. (iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา)
- กล้อง: เซ็นเซอร์หลักเดี่ยว (ไม่มีกล้องมุมกว้างหรือเทเลโฟโต้)
- เสียง: ลำโพงโมโน (ลำโพงตัวที่สองถูกถอดออก)
- แบตเตอรี่: ต้องใช้แผ่นแบตเตอรี่ภายนอกที่ถอดออกได้
- ราคา: 999 USD
กลยุทธ์ราคาสร้างความสับสนในตลาด
ความผิดพลาดที่สำคัญที่สุดอาจอยู่ที่กลยุทธ์การตั้งราคาของ iPhone Air โดยถูกวางตำแหน่งที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่อึดอัด คือถูกกว่า iPhone 17 Pro รุ่นเต็มคุณสมบัติเพียง 100 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ในขณะที่ตั้งราคาสูงกว่ารุ่นพื้นฐานที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ ถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ การตั้งราคาแบบนี้สร้างปัญหาในการรับรู้ถึงคุณค่า ดังที่ Dan Newman ซีอีโอของ Futurum Group ระบุว่า "สำหรับหลายคน กล้องที่ดีกว่าและอายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นของรุ่น Pro มีความน่าสนใจที่ชัดเจนเหนือกว่าความบางระดับสุดของตัวเครื่อง Air" นักวิเคราะห์จาก Forsterm ระบุว่าสิ่งนี้คือ "ช่องว่างราคาที่อึดอัด" ใกล้เคียงกับรุ่นพรีเมียมเกินไปจนไม่แสดงถึงคุณค่า และห่างจากตัวเลือกระดับเริ่มต้นเกินไปที่จะดึงดูดผู้บริโภคที่คำนึงถึงงบประมาณ
ตารางเปรียบเทียบราคา iPhone 17 Series
| รุ่น | ราคา | ส่วนต่างราคาเทียบกับ Air |
|---|---|---|
| iPhone 17 Base | 799 USD | -200 USD |
| iPhone 17 Air | 999 USD | ราคาพื้นฐาน |
| iPhone 17 Pro | 1099 USD | +100 USD |
ผลงานในแต่ละภูมิภาค ชี้ให้เห็นความท้าทายระดับโลก
ความยากลำบากของ iPhone Air ในตลาดดูเหมือนจะชัดเจนเป็นพิเศษในจีน ซึ่งเป็นภูมิภาคสำคัญสำหรับธุรกิจสมาร์ทโฟนระดับโลกของ Apple การวิเคราะห์ล่าสุดจาก Jefferies ชี้ให้เห็นว่าเวลารอรับสินค้าเป็นตัวบ่งชี้ความต้องการที่สำคัญ โดย iPhone Air แสดงเวลารอที่ยาวนานที่สุดอย่างต่อเนื่องภายในซีรีส์ iPhone 17 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความสนใจผู้บริโภคที่อ่อนแอ ผลการดำเนินงานที่น่าผิดหวังในตลาดจีนนี้มีความน่าสังเกตเป็นพิเศษ เนื่องจากรุ่นอื่นๆ ในไลน์アップ iPhone 17 มีรายงานว่ามียอดขายที่แข็งแกร่ง โดย Morgan Stanley คาดการณ์ว่าการผลิตรวมสำหรับซีรีส์นี้อาจสูงถึง 90 ล้านหน่วยในครึ่งหลังของปี
ผลกระทบเชิงกลยุทธ์และแนวโน้มในอนาคต
นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมเริ่มมองว่า iPhone Air เป็นเหมือนสนามทดสอบเชิงกลยุทธ์ มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์กระแสหลักที่กำหนดไว้เพื่อความสำเร็จในระยะยาว ทฤษฎีที่แพร่หลายชี้ให้เห็นว่าอุปกรณ์นี้ทำหน้าที่เป็น "สนามทดสอบ" สำหรับการเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนพับได้ของ Apple ในที่สุด ออกแบบมาเพื่อปรับตัวผู้บริโภคให้ชินกับฟอร์มแฟกเตอร์ที่บางลง และประเมินระดับการยอมรับต่อการประนีประนอมที่จำเป็น มุมมองนี้ได้รับการสนับสนุนโดยรายงานที่ว่า Apple ได้เลื่อนการพัฒนารุ่น Air รุ่นต่อไปออกไปแล้ว โดยคาดว่ากำลังการผลิตในห่วงโซ่อุปทานสำหรับไลน์ผลิตภัณฑ์นี้จะลดลงกว่า 80% ขณะที่บริษัทกำลังปรับเทคนิคใหม่ในการออกแบบทรงบางพิเศษ
